สร.กฟผ.ยื่นหนังสือถึง “พีระพันธุ์” ขอให้ทบทวนนำโรงไฟฟ้าสุราษฏร์ธานี 1,400 เมกะวัตต์ มาบรรจุไว้ในแผน PDP2024 เพื่อความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้ หลังจาก สนพ. ยืนยันความจำเป็นต้องยกเลิกโครงการ กังขาพื้นที่ภาคใต้ต้องมีระบบไฟฟ้าที่มั่นคงป้องกันไฟฟ้าดับซ้ำรอยปี 2561 แต่กำหนดแผนไปสร้างโรงไฟฟ้าที่ภาคตะวันตกแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (สร.กฟผ.) ว่า เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านา ตัวแทน สร.กฟผ. ได้ยื่นหนังสือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อให้มีการทบทวนนำโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีบรรจุกลับเข้าในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2568-2580 หรือ PDP2024 เพื่อมิให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคใต้ ความเสียหายต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทั้งในด้านงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และเพื่อให้ กฟผ. ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐมีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ความมั่นคง และทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐในด้านพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในหนังสือดังกล่าวลงวันที่ 27 ตุลาคม 2567 ลงนามโดย นางณิชารีย์ กิตตะคุปต์ ประธาน สร.กฟผ. ได้ยื่นถึงรองนายกฯ ระบุว่า สืบเนื่องจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้มีหนังสือตอบข้อเสนอของ สร. กฟผ. ที่ขอให้บรรจุโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีไว้ในแผน PDP2024 พร้อมกับได้ชี้แจงเพิ่มเติมในคำชี้แจงของ สนพ. ที่ถอดโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ออกจาก แผน PDP2024 สรุปได้ดังนี้
1.มีเป้าหมายต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
2.พิจารณาความมั่นคงรายภาค ความคุ้มค่า รวมถึงการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3.หากมี โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี จะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติใหม่ ต้องใช้เงินลงทุนสูง
4.ศักยภาพการส่งจ่ายไฟฟ้าของระบบไฟฟ้า 500 เควี จากภาคตะวันตกมาภาคใต้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้
5.โรงไฟฟ้าภาคตะวันตกมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติอยู่แล้ว
สร.กฟผ. พิจารณาคำชี้แจงของ สนพ. รายหัวข้อเรื่องตามสรุปข้างต้นแล้ว ขอแสดงเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยต่อคำชี้แจงในแต่ละข้อ ดังนี้
1.มีเป้าหมายต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
การที่ในแผน PDP2024 กำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่ในภาคตะวันตกขนาด 1,400 เมกะวัตต์ และใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหมือนโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี จึงไม่ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซตามที่กล่าวอ้าง และในแผน PDP ฉบับใหม่นี้ ก็ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติอีกหลายโครงการ รวมทั้งในพื้นที่ภาคใต้เองด้วย
2.พิจารณาความมั่นคงรายภาค ความคุ้มค่า รวมถึงการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เรื่องความมั่นคงรายภาคนั้น การมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มากกว่าหรือใกล้เคียงกับความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่ในพื้นที่เอง ย่อมมีความมั่นคงดีกว่าที่จะอาศัยการส่งไฟฟ้ามาจากภูมิภาคอื่น เพราะจะสามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที ในขณะที่การส่งไฟฟ้ามาจากภูมิภาคอื่นจะเป็นส่วนช่วยเสริมด้านความมั่นคงตามความจำเป็นเป็นครั้งคราวไปจะเหมาะสมกว่า ทั้งนี้การส่งไฟฟ้ามาจากระยะทางไกลจะมีความสูญเสียพลังงานไฟฟ้าจำนวนมากที่ก็ต้องนำมาคิดเป็นต้นทุนด้วย
ในเรื่องความคุ้มค่า และการใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น โครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีจะใช้พื้นที่โรงไฟฟ้าเดิมที่ปลดระวางไปแล้ว ซึ่งเป็นทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์เนื่องจากอยู่บริเวณศูนย์กลางของภาคใต้ มีโครงข่ายไฟฟ้าที่เชื่อมโยงระบบไฟฟ้าครอบคลุมพื้นที่ฝั่งอันดามัน ฝั่งอ่าวไทย และภาคใต้ตอนล่าง จึงมีความคุ้มค่าและได้ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเดิม และชุมชนรอบโรงไฟฟ้ามีความคุ้นเคยและให้การยอมรับ
3.หากมีโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี จะต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติใหม่ ต้องใช้เงินลงทุนสูง
ประเด็นนี้ กฟผ. ได้มีการศึกษาและทบทวนเรื่องระบบการจัดส่งเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติใหม่แล้ว ให้มีความเหมาะสมกับขนาดของโครงการทำให้มูลค่าการลงทุนลดลง ซึ่งแม้ว่าจะต้องพัฒนาโครงสร้างระบบส่งก๊าซธรรมชาติใหม่ แต่เมื่อดูในภาพรวมร่วมกับโครงการโรงไฟฟ้าแล้วสุดท้ายจะมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าไม่มากไปกว่าโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ของเอกชนที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทเดียวกัน ดังนั้น จึงจะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตราค่าไฟฟ้าในภาพรวม
4.ศักยภาพการส่งจ่ายไฟฟ้าของระบบไฟฟ้า 500 เควี จากภาคตะวันตกมาภาคใต้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้
ข้อเท็จจริงคือ โครงการระบบส่งไฟฟ้า 500 เควี เป็นโครงการที่มีอยู่ในแผน PDP2018 เช่นเดียวกันกับโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี เพื่อดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ เนื่องจากเคยเกิดปัญหาไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างในพื้นที่ภาคใต้ เมื่อช่วงประมาณปี 2516 ดังนั้น ในการจัดทำ PDP2018 จึงได้กำหนดให้มีโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี เพื่อความมั่นคงระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้และโครงการระบบส่ง 500 เควีเพื่อการส่งจ่ายไฟฟ้าจากภาคตะวันตกเป็นระบบเสริม
5.โรงไฟฟ้าภาคตะวันตกมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติอยู่แล้ว
กลุ่มโรงไฟฟ้าภาคตะวันตก เป็นโรงไฟฟ้าที่สนับสนุนความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคกลางและเขตนครหลวงเป็นหลัก การมีและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่แล้วเป็นข้อดี แต่เนื่องจากกำลังผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ในภาคตะวันตกจะลดลงไปมากถึง 3,481 เมกะวัตต์ จากการปลดระวางโรงไฟฟ้าของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีในปี 2568 และ 2570 และจะลดลงไปอีก 1,400 เมกะวัตต์ ในปี 2576 จากการปลดระวางโรงไฟฟ้าของบริษัทราชบุรีเพาเวอร์ ซึ่งจะเกิดผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภาคตะวันตก
ดังนั้น การกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าภาคตะวันตกขนาด 1,400 เมกะวัตต์ ใน PDP2024 จึงควรให้เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่สร้างทดแทนโรงไฟฟ้าที่จะถูกปลดระวางออกไป เพื่อดูแลความมั่นคงในพื้นที่ของตัวเองจะเหมาะสมมากกว่าที่จะวางแผนให้เป็นโรงไฟฟ้าที่จะดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภาคใต้
นอกจากนี้มีข้อพึงสังเกตคือ ในแผน PDP2018 เคยกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าภาคตะวันตก ขนาด 700 เมกะวัตต์ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางในพื้นที่โดยอ้างว่า เพื่อความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภูมิภาค ในขณะที่ครั้งนี้จะมีโรงไฟฟ้าปลดระวางจำนวนมากกว่าเดิมหลายเท่าคือเกือบ 5,000 เมกะวัตต์ แต่ไม่พูดเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าทดแทนเพื่อความมั่นคงในภูมิภาคนี้ แต่กลับคิดที่จะใช้โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ 1,400 เมกะวัตต์ ไปดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าในภูมิภาคอื่นอย่างนี้สมเหตุสมผลหรือไม่