Wednesday, 27 November 2024 - 2:43 am
spot_img
Wednesday, 27 November 2024 - 02:43
spot_img

“กรุงเทพประกันภัย” ประกาศผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 67 เติบโต 5.2% สวนทางกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยเบี้ยติดลบ 0.5%

“กรุงเทพประกันภัย” เปิดผลการดำเนินงาน 9 เดือนปี 67 เติบโต 5.2% สูงกว่าภาพรวมเบี้ยประกันภัยที่ติดลบอยู่ที่ 0.5% ชี้สาเหตุหลักมาจากยอดขายรถยนต์ไม่มาตามเป้า บวกกับเมกะโปรเจกต์หายไป เบี้ยประกันภัยข้าวนาปีลดลง และจ่ายค่าเคลมน้ำท่วมภาคเหนือด้วย

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เปิดเผยว่า ภาพรวมเบี้ยประกันภัยในงวด 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค-.-ก.ย.) มีตัวเลข -0.5% ซึ่งมาจากปัจจัยยอดขายรถยนต์ใหม่หายไปจากที่ตั้งเป้าหมายจะเติบโต 8 แสนคัน ลดลงเหลือ 7 แสนคัน ทำให้ต้องปรับลดเป้าใหม่สิ้นปีนี้น่าจะเหลือเพียง 5.5 แสนคันเท่านั้น ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คาดว่าจะมียอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่ในช่วง 9 เดือน 2 แสนคัน แต่เพียงเพิ่มเข้ามาเพียง 1.5 แสนคัน

“ภาพรวมประกันภัยรถยนต์ EV ได้ปรับเบี้ยที่สะท้อนความเสี่ยงมากขึ้น จากเบื้องต้นมีการแข่งขันที่สูงรับทำประกันภัยรถยนต์ EV ในราคาเดียวกันกับรถยนต์สังดาป ซึ่งบริษัทประกันได้ทยอยปรับเบี้ยประกันภัยขึ้นส่งผลให้อัตราความเสี่ยงของรถยนต์ EV เริ่มลดลง แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมยังไม่สามารถสร้างกำไรจากการรับประกันภัยรถยนต์ EV ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงการขยายอู่ซ่อมจากดีลเลอร์ ทำให้ค่าแรง ค่าอะไหล่ค่อนข้างสูง ทำให้อาจจะมีอู่ในสัญญา เพื่อรองรับการเติบโตและการซ่อมรถยนต์ EV ในส่วนต่างๆ พร้อมกับมีการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการซ่อมแบตเตอรี่แทนการเปลี่ยนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย เพราะราคาแบตเตอรี่มีราคสูงถึงครึ่งหนึ่งของมูลค่ารถยนต์ EV เลยทีเดียว”

นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเมกะโปรเจกต์ไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โครงการประกันภัยข้าวนาปีที่พื้นที่รับประกันภัยหายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ตัวเลขประมาณการว่าจะมีเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท คาดว่าจะเหลืออยู่เพียง 1.2-1.3  พันล้านบาท รวมถึงเจอผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบความเสียหายอยู่ที่  460 ล้านบาท

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของกรุงเทพประกันภัยนั้นมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 23,122.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีผลกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,361.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15.9 ส่วนกำไรจากการลงทุนสุทธิเท่ากับ 1,304.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 ทำให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 2,666.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.4 และมีกำไรสุทธิ 2,290.7 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.0 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.51 บาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินด้วยการมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยอยู่ที่ร้อยละ 178.13 (ณ 30 ก.ย.67) และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับสูงหรือ Credit Rating A- (Stable) (ณ ต.ค. 67) โดย Standard & Poor’s (S&P) สถาบันการจัดอันดับทางการเงินชั้นนำของโลก

ปัจจุบันกรุงเทพประกันภัยเป็นบริษัทย่อยที่สร้างรายได้หลักให้แก่ บริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BKIH ซึ่งประกอบธุรกิจผ่านการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมุ่งลงทุนในธุรกิจหลักด้านการประกันภัยและธุรกิจอื่นที่หลากหลายและมีศักยภาพ สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) มีรายได้รวม 17,344.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.0 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการรับประกันภัย 15,917.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.5 จากรายได้จากการรับประกันภัยยานยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการลงทุน 1,427.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลรับและดอกเบี้ยรับ ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,277.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.5 คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 21.39 บาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท บีเคไอ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ครั้งที่ 1 สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 11.25 บาท ซึ่งได้จ่ายเงินปันผลแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา

ดร.อภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ตลอดปี 2567 บริษัทฯ มุ่งมั่นขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เข้าใจไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด พร้อมส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านการมอบความคุ้มครองที่ครอบคลุม สอดคล้องกับความเสี่ยงต่างๆ ในรูปแบบ Personalized Insurance โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ กรุงเทพประกันภัยได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ที่เข้าถึงวิถีชีวิตของผู้บริโภคในปัจจุบัน ผ่าน 3 เทรนด์ที่น่าสนใจ ได้แก่ เทรนด์ Pet Humanization ที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงและออกเดินทางร่วมกันมากขึ้น บริษัทฯ จึงเพิ่มความคุ้มครองการเสียชีวิตและค่ารักษาพยาบาลของสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) ที่อยู่ภายในรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ทุกแผนประกันภัย ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าต่ออายุประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ต้องเสียค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมแต่อย่างใด ตามมาด้วยประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (Aging Society) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนอายุ 55-75 ปี ที่ชอบขับรถยนต์ด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน ซึ่งเริ่มนำเสนอขายเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 รวมถึงประกันภัยสุขภาพ Telemedicine ที่พัฒนามาเพื่อรองรับบริการแพทย์ทางไกลให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเริ่มนำเสนอขายไปแล้วในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา

พร้อมยกระดับนวัตกรรมการบริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าและคู่ค้าผ่านการให้บริการที่มีคุณภาพ เหนือความคาดหวัง สะดวก รวดเร็ว และดูแลเอาใจใส่ในทุกความต้องการของลูกค้า มุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่อยอดสู่ความเป็นเลิศในการให้บริการที่ไว้วางใจได้ ทุกที่ ทุกเวลา โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการพัฒนาด้านบริการสินไหมทดแทนยานยนต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าให้ได้มากที่สุด อาทิ การพัฒนาระบบ i-Claim บริการเคลมรถยนต์ออนไลน์ บริการ Self Service Notification และการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าประกันภัยรถยนต์ด้วยการไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) เป็นต้น
           

ล่าสุดบริษัทฯ ได้เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าตามไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาต่อยอดการให้บริการลูกค้าผ่าน LINE @bangkokinsurance ที่ตอบโจทย์ด้านความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2567 โดยอัตราการแจ้งเคลมรถยนต์ผ่าน LINE เพิ่มขึ้นกว่า 61% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่ต้องการเลือกใช้บริการที่สะดวกและรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ บริษัทฯ จึงได้ขยายการให้บริการฟังก์ชันแจ้งเคลมรถน้ำท่วม ให้ลูกค้าสามารถนำใบแจ้งเคลมผ่านช่องทาง LINE นำรถเข้าซ่อมอู่ได้ทันที ไม่เพียงเท่านี้ยังเพิ่มช่องทางการแจ้งเคลมประกันภัยประเภทอื่นๆ เช่น ประกันอัคคีภัย ประกันภัยไซเบอร์ และประกันภัยโดรน รวมถึงเปิดให้สามารถแจ้งขอเอกสารลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย พร้อมกันนั้น บริษัทฯ ยังได้พัฒนาการบริการที่อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการส่งมอบใบแจ้งความเสียหายผ่านออนไลน์ โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกรับเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล ผ่าน LINE และ Email ได้ทันทีจากเจ้าหน้าที่สำรวจอุบัติเหตุ ณ จุดเกิดเหตุ และสามารถส่งต่อไฟล์เอกสารดังกล่าวให้อู่ซ่อมได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจองคิวซ่อมหรือจัดหาอะไหล่ไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าซ่อมจริง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหาย อีกทั้งยังส่งเสริมการลดใช้กระดาษเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการใส่ใจดูแลลูกค้า ด้วยการเพิ่มความอุ่นใจผ่านระบบติดตามสถานะการดำเนินงาน (Progress Tracking)  โดยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาเเละเริ่มเปิดให้ลูกค้าใช้บริการด้านสินไหมทดแทนยานยนต์บางส่วน คาดว่าจะให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะในขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ผ่านช่องทาง LINE @bangkokinsurance ครอบคลุมทั้งงานด้านการรับประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย และงานสินไหมทดแทน เช่น ตรวจสอบสถานะผลการตรวจสภาพรถยนต์ ขั้นตอนการจัดส่งกรมธรรม์ประกันภัย การชำระเบี้ยประกันภัย รวมถึงการตรวจสอบสถานะการเคลมสินไหมทดแทนว่าอยู่ในขั้นตอนใด เช่น  การรับเอกสารการเคลม การตรวจสอบเอกสารการเคลม การประเมินราคา การจัดซ่อม การส่งมอบรถ การอนุมัติค่าสินไหมทดแทน และการโอนค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น สำหรับตัวแทนและนายหน้าซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัทฯ จะสามารถตรวจสอบสถานะดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทาง Web Partner และเตรียมขยายช่องทางให้บริการลูกค้าและคู่ค้าผ่านช่องทาง Mobile Application อีกด้วย

ด้านการยกระดับคุณภาพการบริการของอู่ซ่อมในสัญญา เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างความประทับใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะอู่ซ่อมในสัญญานับเป็นหนึ่งใน Supply Chain ที่สำคัญของธุรกิจประกันภัย อีกทั้งปัจจุบันกรุงเทพประกันภัยยังมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรถยนต์สูงกว่า 44% บริษัทฯ จึงส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยได้จัดส่งทีมวิศวกรสำรวจภัยที่มีความเชี่ยวชาญเข้าสำรวจความเสี่ยงภัยของอู่ซ่อมในสัญญา เพื่อให้ข้อเสนอแนะแก่อู่ซ่อมให้มีการปรับปรุงเพื่อลดความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดขึ้น พร้อมส่งเสริมให้มีการปรับปรุงมาตรฐานและลดการปฏิบัติงานที่อาจสร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนรอบข้าง เช่น การจัดการของเสียอย่างเหมาะสม การจัดทำแผนฉุกเฉินกรณีเกิดการรั่วไหลของสารเคมี การมีระบบบำบัดน้ำเสีย การควบคุมมลพิษทางเสียงและมลพิษทางอากาศที่อาจเกิดจากพ่นสีหรือซ่อมเครื่องยนต์ ตลอดจนให้ความรู้ผ่านกิจกรรม “ความปลอดภัยเริ่มที่ตัวเรา” โดยจัดอบรมให้ความรู้แก่ลูกค้า คู่ค้า รวมถึงอู่ซ่อมในสัญญาให้มีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัย การป้องกันอัคคีภัยในสถานประกอบการ รวมถึงการจัดการด้านมลพิษ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาการให้บริการของอู่ซ่อมในสัญญาด้วยการจัดส่งคะแนนผลสำรวจความพึงพอใจและข้อเสนอแนะจากลูกค้าแก่อู่ซ่อมในสัญญาเป็นประจำทุกเดือน พร้อมกำหนดเกณฑ์และมาตรการที่จะนำไปปรับปรุงงานซ่อมรถยนต์ร่วมกัน โดยหลังจากได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 มีผลตอบรับที่ดีและอู่ซ่อมสามารถเพิ่มคะแนนความพึงพอใจจากลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยุคใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมความมุ่งมั่นเพื่อยกระดับการบริการที่มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย เเละสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าเเละคู่ค้า ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตเเละมีผลการดำเนินงานที่ดี อย่างไรก็ตามธุรกิจประกันวินาศภัยยังต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน อาทิ การลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัว ค่าเงินที่มีความผันผวนสูง กำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัวจากภาวะหนี้สินครัวเรือน ปัญหาภัยธรรมชาติ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ

LATEST NEWS