
กองทุนสำรองคริปโตอีกสัญญาณจุดเปลี่ยนระบบการเงินโลก แนะเปิดเสรี Virtual Bank ชี้ Tokenized ระบบการเงินและเศรษฐกิจลดต้นทุนธุรกรรมการเงินและเศรษฐกิจ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมียนมามีความเสี่ยงสูง
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การจัดตั้งกองทุนสำรองคริปโตทางยุทธศาสตร์ (Strategic Bitcoin Reserve) ของรัฐบาลทรัมป์ เป็นอีกสัญญาณหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของระบบการเงินโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า คริปโตจะกลายเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่นำมาใช้บริหารความเสี่ยงจากปัญหาความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์จากหนี้สาธารณะมหาศาลและการขาดดุลการค้าเรื้อรังของสหรัฐอเมริกา ผลการสำรวจ Fort Knox ทองคำสำรองจะมีหรือไม่มีเท่าที่ประกาศเอาไว้ ผลกระทบต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และ ระบบการเงินโลกจะบรรเทาลง เพราะคริปโตจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนสำรองระหว่างประเทศ กองทุนสำรองคริปโตจะทำให้ “คริปโตเคอร์เรนซี” มีราคาและมูลค่าสูงขึ้นโดยที่ คุณค่า (Intrinsic Value) ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ยังเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรและการลงทุน มากกว่ามี คุณค่าของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) จึงคาดการณ์ได้ว่า กองทุนสำรองคริปโตทางยุทธศาสตร์เพียงช่วยทำให้ “ฟองสบู่คริปโต” รอบใหม่ แตกช้าลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การ Tokenized ระบบการเงินและเศรษฐกิจทำให้ระบบการเศรษฐกิจ ตลาดแรงงานและระบบการจ้างงานเปลี่ยนไป ขณะนี้ มีแนวโน้มของการทำให้เกิด Tokenization ในหลายประเทศ ผลของการ Tokenization ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบการเงินเป็นเรื่องที่ต้องมีการศึกษาวิจัยอย่างละเอียดว่าเราควรจะมีแนวทางนโยบายและการบริหารจัดการอย่างไรในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำกันอย่างเอาจริงเอาจัง การ Tokenized Economy จะต้องมีกระบวนการแปลงสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรดักต์ทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ รวมถึงสินทรัพย์การลงทุนอย่างเช่นอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้สามารถครอบครองความเป็นเจ้าของผ่านโทเคนดิจิทัลและสามารถที่จะซื้อขายหรือโอนให้กันผ่านบล็อกเชนได้ การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกรรมทางการเงินและเศรษฐกิจลงอย่างมาก การทำธุรกรรมหลายอย่างไม่ต้องผ่านคนกลาง โดยเฉพาะต้นทุนการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศจะลดลงมากที่สุด
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า สนับสนุนให้มีการเปิดเสรีการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา หรือ Virtual Bank เพิ่มขึ้น การเปิดกว้างให้มีการจัดตั้งธนาคารไร้สาขามากขึ้น จะลดอำนาจผูกขาดในระบบธนาคารลง ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยราคาที่ถูกลงอย่างมาก การมี ธนาคารเสมือนจริง (Virtual Bank) เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ลดปัญหาหนี้ครัวเรือนลงได้ระดับหนึ่ง ขยายโอกาสธนาคารและบริการทางการเงินในรูปแบบใหม่ (Neo Banks) จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและภาคการลงทุนลดลง นอกจากนี้ การธนาคารและการให้บริการทางการเงินในรูปแบบใหม่ในระบบธนาคารดิจิทัลที่ไร้สาขานี้ จะลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดกิจกรรมหรือกระบวนการทำงานที่ปล่อยของเสีย เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม สัดส่วนของต้นทุนอาคารสถานที่และอุปกรณ์ในเครือข่ายสาขาต่อต้นทุนการดำเนินการทั้งหมดของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ที่ประมาณ 13-20% การสามารถลดต้นทุนการดำเนินการเครือข่ายสาขาได้ลงอย่างมีประสิทธิภาพย่อมทำให้ต้นทุนทางการเงินของธนาคารและลูกค้าลดลงได้ สามารถนำต้นทุนที่ลดลงไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการการเงินได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันการจัดตั้งธนาคารไร้สาขาอาจจะก่อให้เกิดการเลิกจ้างพนักงานในธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมอีกระลอกหนึ่ง แต่เป็นการเพิ่มโอกาสในการจ้างงานสำหรับแรงงานที่มีทักษะทางด้านดิจิทัล นอกจากนี้ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ของธนาคารเสมือนจริง (Virtual Bank) ทำให้สามารถนำเสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากได้สูงกว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ได้ต่ำกว่าธนาคารแบบดั้งเดิม อย่างในสหรัฐอเมริกาที่มีเปิดให้บริการธนาคารแบบไร้สาขาจำนวนมาก ปรากฏว่า ธนาคาร Digital Virtual Bank สามารถให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์สูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่รูปแบบดั้งเดิม (Large Traditional Bank) สูงถึง 3-4% และ มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูก ประชาชนสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวก เสนอให้พิจารณาใช้นโยบาย Open Banking เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกาหรือสมาชิกอียูบางประเทศ การทำนโยบาย Open Banking จะทำให้เกิดการแข่งขันการให้บริการ พัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลาย นโยบาย Open Banking บวกเข้ากับ หลักเกณฑ์เปิดให้มีการจัดตั้งธนาคารเสมือนจริงไร้สาขา อย่างเหมาะสมชัดเจน จะเปิดให้ กลุ่ม Non-Bank และบริษัทที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี เช่น บริษัท FinTech บริษัท E-Commerce บริษัทโทรคมนาคม สามารถจัดตั้งธุรกิจการให้บริการทางการเงินหลากหลายรูปแบบ
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องหนึ่ง ที่สังคมไทยและรัฐบาลควรติดตามใกล้ชิด คือ ความร่วมมือของเมียนมา และ รัสเซีย ในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย แม้นเป็นดินแดนและพื้นที่ของประเทศพม่า แต่ห่างจากกรุงเทพฯและศูนย์กลางของประเทศไทยประมาณ 300 กิโลเมตร และห่างจากชายแดนในบางจุดประมาณ 100 กิโลเมตร รัฐบาลไทยควรหารือกับรัฐบาลเมียนมาเพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อระบบความมั่นคงและปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก่อนที่จะเริ่มต้นการก่อสร้าง นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ดังกล่าวของรัฐบาลมิน อ่อง หล่าย และ กลุ่มทุนรัสเซียภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลปูติน เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อจะได้กำหนดยุทธศาสตร์นโยบายภูมิรัฐศาสตร์ให้เหมาะสม การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศที่มีสงครามกลางเมืองอยู่ มีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง ประเทศไทยควรใช้เวทีอาเซียนในการทำให้เกิดหลักประกันระบบความปลอดภัยขั้นสูงของระบบโรงไฟฟ้าในเมียนมา หากเราไม่ดำเนินการเชิงรุกความเสี่ยงเรื่องความมั่นคงอาจเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต