
มองย้อนกลับไปเมื่อปี 2567 ประเทศไทยมีการใช้พลังงานขั้นต้นเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น 2% ที่น่าตกใจเชื้อเพลิงทุกชนิดตัวเลขมีการเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด ทั้งในส่วนของการใช้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การใช้ถ่านหิน เช่นเดียวกับการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 5.2% จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสภาพอากาศที่ร้อนโดยเพิ่มขึ้นสูงในสาขาครัวเรือนและธุรกิจ
ถ้าโฟกัสไปที่การผลิตไฟฟ้ามีตัวเลขอยู่ที่ 235,500 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้น 5.5% แบ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ หรือ LNG มีสัดส่วนสูงสุด 58% มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 136,373 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 5.4% ไฟฟ้านำเข้าและแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 9.7% การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้า ลิกไนต์ จากพลังงานหมุนเวียนก็เพิ่มขึ้น ยกเว้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ และน้ำมันที่ลดลง
ในส่วนการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 214,469 ล้านหน่วย (GWh) เพิ่มขึ้น 5.2% จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสภาวะอากาศที่ร้อนอบอ้าว ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าในสาขาธุรกิจเพิ่มขึ้น 6.4% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ไฟฟ้าในโรงแรมที่เพิ่มขึ้น 10.7% เช่นเดียวกับการใช้ไฟฟ้าของอพาร์ตเมนต์และเกสต์เฮาส์ ห้างสรรพสินค้า ขายปลีกและขายส่ง
สำหรับการใช้ไฟฟ้าในสาขาครัวเรือนเพิ่มขึ้น 7.7% ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพอากาศที่ร้อน ส่งผลให้มีความต้องการไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศเพื่อทำความเย็นเพิ่มขึ้น ส่วนการใช้ไฟฟ้าในสาขาอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการใช้ 41% มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2.3% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ไฟฟ้าในอุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ เหล็กและโลหะพื้นฐาน และพลาสติก
ในปี 2567 จึงเกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือพีค ในระบบ 3 การไฟฟ้า (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. , การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA และการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เวลา 22.24 น. อยู่ที่ระดับ 36,792 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้าของปีก่อน
สำหรับปี 2568 ในช่วง 3 เดือนแรกพบว่า การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นอยู่ที่ 2,039 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ลดลง 2.5% โดยตัวเลขการใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินและลิกไนต์ ลดลงจากความต้องการใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง
ส่วนการการใช้ไฟฟ้ามีตัวเลขอยู่ที่ 48,717 กิกะวัตต์ชั่วโมง ลดลง 5.8% ซึ่งเป็นพบว่าการใช้ไฟฟ้าลดลงทั้งในสาขาอุตสาหกรรม และสาขาครัวเรือน
อย่างไรก็ดี ในปี 2568 ประเทศไทยยังเกิดมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของ 3 การไฟฟ้า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 20.48 น. มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดถึง 34,620.4 เมกะวัตต์
ดังนั้น การประหยัดพลังงานถือเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ก่อให้เกิดผลดีต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าที่จะได้ประโยชน์สูงสุดในการช่วยลดรายจ่ายของครอบครัว ขณะเดียวกันยังส่งผลพลอยได้ทำให้ปริมาณการใช้พลังงานในภาพรวมของประเทศลดลง ช่วยลดความเสี่ยงในการขาดแคลนพลังงาน ลดการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (LNG) ที่มีราคาแพงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการผลิตไฟฟ้าที่ต้นทุนส่วนใหญ่คือค่าเชื้อเพลิง หากปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจะทำให้ไม่ต้องเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่ใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีต้นทุนสูงเข้ามาในระบบ ส่งผลให้ต้นทุนค่าเอฟทีในภาพรวมลดลง รวมถึงค่าไฟฟ้าด้วย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขอเชิญชวนคนไทยใช้พลังงานอย่างประหยัด เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานในภาพรวมของประเทศ และลดการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (LNG) จากต่างประเทศ เตรียมรับมือวิกฤตพลังงาน ผ่านมาตรการ 5 ป. คือ
- ปิด คือ ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้งาน แม้จะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็สามารถช่วยประหยัดไฟได้มาก
- ปรับ คือ ปรับแอร์ที่อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส เพราะการปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียสจะช่วยลดค่าไฟฟ้าประมาณ 10% นอกจากนี้การปิดแอร์เร็วขึ้น 1 ชั่วโมงก่อนออกจากห้อง สามารถช่วยประหยัดไฟฟ้าได้เช่นกัน
- ปลด คือ ปลดปลั๊กทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน เพราะการเสียบปลั๊กทิ้งไว้แม้ปิดสวิตซ์แล้วก็ยังคงมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนอยู่ ทำให้กินไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าเสื่อมคุณภาพเร็ว และเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
- เปลี่ยน คือ เปลี่ยนมาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ติดดาว ยิ่งดาวมาก ยิ่งประหยัดไฟมาก และเลือกใช้หลอด LED ที่ให้แสงสว่างมากกว่าหลอดไฟทั่วไป แต่กินไฟน้อยกว่า
- ปลูก คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อช่วยสร้างร่มเงา ลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน และลดการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า
การรวมพลังของคนไทยช่วยประหยัดพลังงานสามารถช่วยชาติลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ เพิ่มเสถียรภาพทางพลังงาน และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานอีกทางหนึ่งด้วย