
นางพัชรินทร์ รพีพรพงศ์ รองผู้ว่าการการเงินและบัญชี (CFO) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศผลการทบทวนการจัดอันดับเครดิตของ กฟผ. ประจำปี 2568 คงที่ระดับ “AAA” ซึ่งเป็นระดับที่ดี่ที่สุด ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ คงที่ สะท้อนถึงบทบาทของ กฟผ. ในฐานะรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินกิจการบูรณาการกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ มีบทบาทสำคัญในการจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย โดยเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าและดูแลความมั่นคงระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงทั่วทั้งประเทศ รวมถึงมีสถานะทางการเงินและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ เครดิตองค์การเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในพันธบัตรของ กฟผ. แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงความมั่นคงทางการเงินขององค์การ แม้อุตสาหกรรมไฟฟ้าของประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิตในระดับ AAA ของ กฟผ. จะเป็นตัวยืนยันความแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นทางด้านเครดิตให้แก่คู่ค้า โดย กฟผ. มีความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศ พร้อมทั้งยังคงบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าและการดำเนินงานตามนโยบายด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า “ทริสเรทติ้ง” คาดว่า กฟผ. จะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศเอาไว้ได้จากการมีส่วนแบ่งการผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดและการ มีสถานะเป็นผู้ให้บริการระบบสายส่งไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคม 2568 ระบบไฟฟ้าของ กฟผ. มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม ทั้งสิ้นที่ขนาด 52,017 เมกะวัตต์ โดย กฟผ. เป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าซึ่งมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 16,261 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 31.3% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในระบบไฟฟ้าของ กฟผ. ส่วนกำลังการผลิตที่เหลืออีกจำนวน 35,757 เมกะวัตต์นั้นเป็นการรับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชนภายในประเทศในสัดส่วน 56.7% และนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และประเทศมาเลเซียอีก 12.0%
โดยไฟฟ้าที่จัดหามาได้นั้น กฟผ. จำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) (อันดับเครดิต “AAA/Stable”) ประมาณ 71% และจำหน่ายให้แก่การ ไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) (อันดับเครดิต “AAA/Stable”) อีก 27% โดยผ่านทางระบบสายส่งของประเทศ (National Grid) ซึ่ง กฟผ. เป็นเจ้าของและ เป็นผู้บริหารระบบดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนผลการดำเนินงานของ กฟผ. จะอ่อนตัวลงเล็กน้อยในปี 2568 ซึ่งโดยหลัก ๆ เนื่องมาจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟผ. ในไตรมาสแรกของปี 2568 ลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่ ซบเซาในภาคเศรษฐกิจโดยรวม ผลกำไรของ กฟผ. ได้รับผลกระทบจากการเรียกเงินคืนจำนวนมากถึง 1.1 หมื่นล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2568 ตามที่ กกพ. กำหนดเพื่อนำเงินไปสนับสนุนการรักษาเสถียรภาพค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าปลายทาง
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งได้ปรับคาดการณ์ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ลดลง 3%-4% ในปี 2568 และหลังจากนั้นจะฟื้นตัว เล็กน้อยโดยจะเติบโตที่ระดับ 1%-2% ในช่วงปี 2569-2570 ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างปี 2568-2570 ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่า EBITDA ของ กฟผ. จะยังคง อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งระหว่าง 1.40-1.45 แสนล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ดี “ทริสเรทติ้ง” ประเมินว่าสถานะทางการเงินของ กฟผ. อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมากโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ แข็งแรงและระดับหนี้สินที่คาดว่าจะลดลง ทริสเรทติ้งประมาณการว่าเงินลงทุนของ กฟผ. จะอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้น 1.40 แสนล้านบาทในช่วงสามปี ข้างหน้าซึ่งต่ำกว่าสถิติในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่เดียวกัน ทริสเรทติ้งก็คาดว่า กฟผ. จะยังคงได้รับรายได้ Ft ค้างรับเพื่อชดเชยต้นทุนเชื้อเพลิงที่ กฟผ. แบกรับภาระไว้ก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน โดย กฟผ. จะนำเงินที่ได้จากรายได้ Ft ค้างรับนี้ไปใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ที่นำมาเสริมสภาพคล่อง ซึ่งจะทำให้ ภาระหนี้สินโดยรวมของ กฟผ. ลดลง ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2568 รายได้ Ft ค้างรับของ กฟผ. อยู่ที่ประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท ลดลงอย่างมากจาก ระดับสูงสุดที่ 1.5 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2565
ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดการณ์ว่าสัดส่วนโครงสร้างหนี้ของ กฟผ. น่าจะลดลง โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะลดลงเหลือประมาณ 2.0 เท่าภายในปี 2569-2570 จาก 2.5 เท่าในปี 2568 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเหลือประมาณ 30%-36% อย่างไร ก็ตาม การได้รับคืนรายได้ Ft ค้างรับที่เหลือทั้งหมดนั้นยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อความล่าช้าเนื่องจากอัตรา Ft ในปัจจุบันได้รับการกำหนดให้อยู่ ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งมีแนวโน้มว่าการเก็บรายได้ Ft ค้างรับจะช้าลง
ทางด้านสภาพคล่องที่แข็งแกร่งของ กฟผ. มีปัจจัยสนับสนุนจากการมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่จำนวน 1.58 แสนล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2568 ผนวกกับเงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินงานที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่จำนวน 9.2 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ แหล่งสภาพคล่องโดยรวม ดังกล่าวมีเพียงพอที่จะรองรับภาระหนี้ระยะสั้นและภาระผูกพันตามสัญญาเช่าการเงินรวมทั้งสิ้นจำนวน 6.32 หมื่นล้านบาทของ กฟผ. ได้