Thursday, 7 August 2025 - 12:13 pm
spot_img
Thursday, 7 August 2025 - 12:13
spot_img

สหรัฐฯ เก็บภาษีส่งออกไทย 19% หนุนการขยายตัวของส่งออกไทยไม่ต่ำกว่า 5%

สหรัฐฯ เก็บภาษีส่งออกไทย 19% หนุนการขยายตัวของส่งออกไทยไม่ต่ำกว่า 5% ชี้ทำเอฟทีเอเพิ่มและขยายขอบเขต การลงทุนขึ้นกับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น ภาษีไม่ใช่ตัวแปรสำคัญ อัตราภาษีสวมสิทธิ 40% กระทบจีนหนัก ผู้ผลิตภายในเตรียมรับมือสินค้าถูกจีนทะลัก ขณะที่สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ทำขาดแคลนแรงงานฉับพลันในกิจการเกษตร ก่อสร้าง แปรรูปอาหารในภาคตะวันออก  

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สินค้าไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกจัดเก็บ 19% ซึ่งเป็นอัตราใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน จึงทำให้สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ยังคงแข่งขันได้ดี และต้องแสวงโอกาสในการเข้าไปทดแทนสินค้าส่งออกจากประเทศลาว เมียนมาและอินเดีย ที่ถูกจัดเก็บในอัตราภาษีที่สูงกว่าไทยมาก อย่างไรก็ตาม การเร่งนำเข้าสินค้าส่งออกจากไทยในช่วง 5-6 เดือนของปีนี้และอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ตัวเลขส่งออกในช่วงที่เหลือของปีชะลอตัวลงแต่ไม่ติดลบ โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีอัตราการขยายตัวของส่งออกไทยจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5% ไทยควรทำข้อตกลงการค้าเสรีเพิ่มเติมกับประเทศต่างๆที่เป็นประตู (Gateway) สู่การค้าของภูมิภาคต่างๆทั่วโลก และใช้ประโยชน์จากการทำข้อตกลงเอฟทีเอกับเปรูในการเจาะตลาดละตินอเมริกามากขึ้น ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางความมั่นคงทางด้านอาหารและสามารถขยายตลาดส่งออกไปยังตะวันออกกลางผ่านข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยทำกับบาห์เรนได้ นอกจากนี้ ควรเร่งรัดเจรจาเอฟทีเอกับอียู และ แคนาดาเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตลาดส่งออกไทยการขยายขอบเขตข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอที่ไทยทำไว้แล้วกับประเทศต่างๆ ให้ครอบคลุมการค้าบริการและภาคการลงทุนเพิ่มขึ้น ก็ควรเป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทยด้วย    

อย่างไรก็ดี การเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าในอัตราใกล้เคียงกันทำให้ภาษีไม่ใช่ตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ความมีเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่คงเส้นคงวาเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนของต่างชาติ ส่วน อัตราภาษีสวมสิทธิ หรือ อัตราภาษีสำหรับสินค้า Transshipment 40% กระทบสินค้าส่งออกจีนหนัก ขณะเดียวกันจะทำให้สินค้า Re-Export ในไทยมีแนวโน้มลดลง โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีจำกัดเพราะสินค้าเหล่านี้มีผลต่อมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจน้อยมาก อย่างไรก็ตาม การเจอกับอัตราภาษีสูงของสินค้าสวมสิทธิ์จากจีน จะทำให้มีการขายสินค้าดังกล่าวมายังตลาดไทยและตลาดภูมิภาคเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตภายในต้องเตรียมรับมือสินค้าถูกจากจีนทะลักอีกระลอกหนี่ง

ส่วนการเปิดตลาดให้สหรัฐอเมริกา มีอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯมายังไทย 0% จำนวนหมื่นรายการนั้น มีผลกระทบจำกัด เพราะส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิตหรือผลิตไม่พอ ส่วนที่จะกระทบจะเป็นสินค้าที่เราผลิตแล้วแข่งขันไม่ได้  ซึ่งก็ต้องมีมาตรการในการยกระดับขีดความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้นพร้อมลดต้นทุนการผลิต

รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า DEIIT ได้ประเมินและคาดการณ์ผลกระทบของความขัดแย้งไทยกัมพูชาต่อตลาดแรงงานและแรงงานกัมพูชาในไทย ดังนี้ แรงงานกัมพูชาในประเทศไทยเป็นแรงงานข้ามชาติกลุ่มใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และบริการ โดยมีจำนวนตัวเลขเป็นทางการเข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมาย 5 แสนคน เมื่อรวมกับแรงงานที่ลักลอบเข้าเมืองคาดว่าจะมีรวมกว่า 1–1.2 ล้านคน ซึ่งแรงงานเหล่านี้ไม่เพียงตอบสนองต่ออุปสงค์แรงงานในหลายกิจการในไทย แต่แรงงานเหล่านี้ยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศกัมพูชา แรงงานเหล่านี้จะส่งเงินกลับบ้าน (Remittance) คิดเป็นรายได้สำคัญของเศรษฐกิจกัมพูชา ราว 40,000–65,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 6.5% ของ GDP กัมพูชา (Khmer Times, 2024; World Bank, 2024)

สำหรับผลกระทบเบื้องต้นต่อตลาดแรงงานจากความขัดแย้งไทยกัมพูชา ซึ่งการอพยพของแรงงานกัมพูชากลับประเทศ ในช่วง 5 วันของความขัดแย้งรุนแรง (ปลายเดือนกรกฎาคม 2568) มีแรงงานกัมพูชาประมาณ 400,000 คน เดินทางกลับประเทศ โดย 150,000 คนกลับประเทศภายในวันแรก จากข่าวลือเรื่องความไม่ปลอดภัยภายในไทย ทางการควรมีมาตรการเชิงรุกในการลดการปลุกกระแสความเกลียดชังทางด้านเชื้อชาติและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนไทยและแรงงานกัมพูชา การที่แรงงานหลายแสนคนกลับประเทศในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ไทยประสบภาวะขาดแคลนแรงงานฉับพลันและยังกลายเป็นภาระต่อระบบเศรษฐกิจกัมพูชา  เนื่องจากแรงงานเหล่านี้ไม่มีงานรองรับในประเทศ ขาดรายได้ และทำให้การส่งเงินกลับประเทศ (remittance) ลดลงทันที (SCMP, 2025; IOM, 2024) แรงงานกัมพูชาจำนวนไม่น้อยยังคงอยู่ในไทยต่อไป โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลชายแดน เนื่องจากมีรายได้ที่สูงกว่าทำงานในประเทศตัวเอง มีงานมั่นคงและไม่มีหลักประกันอะไรว่าเมื่อเดินทางกลับประเทศแล้วยังคงมีงานทำ  

อย่างไรก็ตาม การหายไปของแรงงานกัมพูชาจำนวนมากในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ก่อให้เกิดการขาดแคลนแรงงานแบบฉับพลัน กระทบการผลิตและการดำเนินงานของกิจการให้สะดุดได้ ส่งผลให้กิจกรรมในภาคเกษตร กิจการก่อสร้าง โรงงานแปรูปอาหาร โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่างจันทบุรี ตราด และสุรินทร์ ซึ่งแรงงานกัมพูชาคิดเป็นกว่า 70–80% ของแรงงานทั้งหมด ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องชะลอการผลิต หากสถานการณ์ความขัดแย้งยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการขาดแคลนแรงงาน ทางการควรเพิ่มการนำเข้าแรงงานจากลาวและเมียนมาชดเชย หากประเทศไทยจำเป็นต้องใช้แรงงานจากลาวและพม่าแทนแรงงานกัมพูชาทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ราว 1–1.2 ล้านคน จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านปริมาณแรงงานทดแทนในระยะสั้น เนื่องจากแรงงานจากลาวมีจำนวนจำกัดและเน้นทำงานในภาคบริการ ขณะที่แรงงานพม่าส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและชายแดนตะวันตก-ภาคเหนือ การทดแทนแรงงานกัมพูชาซึ่งเน้นหนักในภาคเกษตรและแปรรูปอาหารในภาคตะวันออกจึงอาจก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานเฉพาะพื้นที่และบางช่วงเวลาได้ โดยเฉพาะในช่วงเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ การเจรจาโควตาแรงงาน การตรวจคนเข้าเมือง และต้นทุนด้านกฎหมายอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในภาคการผลิตที่ต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติอย่างมาก การปรับโครงสร้างการผลิตจากการใช้แรงงานเข้มข้น มาใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้นขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในระยะยาว การลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่เป็นสิ่งที่ต้องมีการวางแผนลงทุนเอาไว้ล่วงหน้า

LATEST NEWS