
ประเทศไทยประกาศขยับเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero มาเป็นปี 2050 กุญแจความสำเร็จการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจึงโฟกัสไปที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR ซึ่ง กฟผ. ได้นำสื่อมวลชนศึกษาต้นแบบนวัตกรรมพลังงานสะอาด “SMR-ไฮโดรเจน” ของประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเรียนรู้รูปแบบลงทุนแบบครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก และนำมาต่อยอดผลิตจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย

โดย นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้นำคณะผู้บริหาร ประกอบด้วย นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, นายศุภชัย คูณเศรษฐ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนา, นายเอกรัฐ สมินทรปัญญา ผู้ช่วยผู้ว่าการแผนงานโรงไฟฟ้า และนายไชยยศ ตั้งวรกุลชัย ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน และสื่อมวลชนด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และอุตสาหกรรม เดินทางศึกษาดูงานเทคโนโลยี Small Modular Reactor (SMR) ที่ศูนย์วิจัยกลาง (Central Research Institute : CRI) ของบริษัท Korea Hydro & Nuclear Power Co., Ltd. (KHNP) พร้อมเยี่ยมชมโรงงานผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของ KEPCO Nuclear Fuel (KNF) และโรงงานผลิตเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนของบริษัท Doosan Enerbility Co., Ltd. รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับพันธมิตรด้านพลังงาน ระหว่างวันที่ 15-19 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ประเทศเกาหลีใต้

เกาหลีใต้ถือว่าไม่ธรรมดาเป็นผู้นำเทคโนโลยีนิวเคลียร์ติดอันดับท็อป 5 ของประเทศที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากที่สุด จำนวน 26 เครื่อง จากทั่วโลก 31 ประเทศ มีเดินเครื่องอยู่จำนวน 416 เครื่อง มีกำลังการผลิตรวม 376,286 Mwe และยังมีอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 61 เครื่อง
หากโฟกัสดู 5 อันดับประเทศที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากที่สุด อันดับที่ 1 ยังเป็นสหรัฐอเมริกา 94 เครื่อง รองลงมา ได้แก่ ฝรั่งเศส 57 เครื่อง จีน 57 เครื่อง รัสเซีย 36 เครื่อง และเกาหลีใต้ 26 เครื่อง
ในปี 2568 นี้ เกาหลีใต้มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 45,236 กิกะวัตต์-ชั่วโมง แบ่งเป็นสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ มากที่สุดอยู่ที่ 57%

แต่ที่น่าสนใจพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิง Low Carbon สัดส่วน 43% มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากสุด 32.4% รองลงมาได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ เชื้อเพลิวชีวภาพ และอื่นๆ
นอกจากนี้เกาหลีใต้มีหน่วยงานเพื่อขับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบครบวงจร ภายใต้การดูแลของ Korea Electric Power Corporation (KEPCO) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าของสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ทำหน้าที่บริหารและลงทุนด้านการผลิตไฟฟ้า ส่งและจำหน่ายไฟฟ้า รวมถึงลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เป็นบริษัทแม่ของ KEPCO Nuclear Fuel (KNF) ทำหน้าที่ผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ และ KEPCO KPS ทำหน้าที่บำรุงรักษาโรงไฟฟ้า และ Korea Hydro & Nuclear Power (KHNP) รับผิดชอบการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำและพลังงานนิวเคลียร์ เป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดในเกาหลีใต้ พัฒนา ออกแบบ เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เช่น APR1400 iSMR ที่สำคัญมีมาตรฐาน ISO 19443 มาตรฐานสากลที่ออกแบบมาสำหรับภาคส่วนนิวเคลียร์ โดยมุ่งเน้นที่การจัดการคุณภาพที่จัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่สำคัญต่อความปลอดภัยของนิวเคลียร์

ดังนั้น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เกาหลีใต้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั้งหมดจัดหาโดยบริษัท KNF ผู้ผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์รายเดียวของประเทศที่สามารถผลิตเชื้อเพลิงทั้งสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ชนิด Light Water (LWR) และ Heavy Water (HWR) ผ่านมาตรฐาน ISO 19443:2018 เพื่อรองรับห่วงโซ่อุปทานนิวเคลียร์ระดับสากล โดยในแผนพลังงานแห่งชาติฉบับที่ 11 มีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการ SMR ขนาด 680 MWe ผ่านเทคโนโลยี “i-SMR (Innovative Small Modular Reactor)” จำนวน 4 โมดูล พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทและสถาบันวิจัยชั้นนำของเกาหลีใต้ (เช่น KHNP, KAERI, KEPCO E&C) ภายใต้ i-SMR Consortium ตั้งเป้าก่อสร้างแห่งแรกและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2035

ตามแผนภายใน 2038 เกาหลีใต้จะมีสัดส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มขึ้นเป็น 35% พลังงานหมุนเวียน เพิ่มขึ้นเป็น 30% ส่วนโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่มาจากถ่านหินจะลดลงเหลือ 10% และก๊าซ LNG ลดลงเหลือ 10%
นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กฟผ. ในฐานะหน่วยงานหลักในการดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่สะอาดและยั่งยืน ได้เตรียมความพร้อมด้วยการศึกษาทางเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม การพัฒนาบุคลากรเอาไว้รองรับ โดยได้ติดตามพัฒนาการของเทคโนโลยี SMR จากนานาประเทศอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ได้ร่วมมือกับ KHNP ในการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคนิค รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับโครงการ SMR ของประเทศไทย

KHNP ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนิวเคลียร์ของโลก มีประสบการณ์กว่า 50 ปี และมีศูนย์วิจัยกลาง CRI ณ เมืองแทจอน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์รุ่นใหม่ รวมถึงระบบความปลอดภัย ล่าสุดได้พัฒนาเทคโนโลยี i-SMR ที่ใช้น้ำเป็นตัวหล่อเย็น ติดตั้งแบบฝังใต้ดิน พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety สามารถหยุดการทำงานอัตโนมัติในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าหรือบุคลากรควบคุม ภายในศูนย์ยังจัดแสดงแนวคิด Smart City ผสานพลังงานจาก i-SMR พลังงานหมุนเวียน และไฮโดรเจน เพื่อพัฒนาเมืองแทกูสู่ “Smart Net-Zero City” โดยมีศูนย์ควบคุมที่ใช้ AI และเทคโนโลยี ICT ในการบริหารจัดการระบบพลังงานแบบครบวงจร

นายวฤต กล่าวว่า กฟผ. มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่สะอาดและยั่งยืน ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่าร้อยละ 50 ตามร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2024) โดยที่ผ่านมา กฟผ. เดินหน้าหลายโครงการสำคัญ เช่น โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อน กฟผ. ทั่วประเทศ สอดรับกับนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน การปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อรองรับความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ พัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) รวมถึงเทคโนโลยี SMR เพื่อสนับสนุนประเทศสู่เป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ในปี 2050

นอกจากนี้ กฟผ. มีความพร้อมในการขับเคลื่อนโรงไฟฟ้า SMR ตามแผน PDP2024 ที่ได้กำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR จำนวน 2 โรง รวมกำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ ภายในปี 2580 ซึ่งจะต้องร่วมมือบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้โรงไฟฟ้า SMR เกิดขึ้นแบบครบวงจรในรูปแบบเดียวกับเกาหลีใต้ เริ่มตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการเทคโนโลยี การถ่ายทอดความรู้ทางเทคนิค การออกแบบเทคโนโลยี การผลิตเชื้อเพลิง การซ่อมบำรุง และการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศในอนาคต
“การลงทุนโรงไฟฟ้า SMR จะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จากการดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน และเรามีแนวคิดว่า ต่อไปประเทศไทยจะไม่เป็นแค่ผู้ซื้อเทคโนโลยี SMR เพียงอย่างเดียว เราจะยึดต้นแบบเดียวกับเกาหลีใต้ที่มีการลงทุนแบบครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืน แล้วมีการพัฒนาต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ขายเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า SMR ในอนาคตด้วย” รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวและว่า

“เกาหลีใต้ได้ขยายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบโจทย์ Net Zero และได้ปรับให้มีขนาดเล็กลงเป็นโรงไฟฟ้า SMR เพื่อให้มีความปลอดภัยสูงขึ้น มีเป้าหมายนำไปใช้ในพื้นที่ในเมืองตามอาคารต่างๆ ส่วนประเทศไทยมีแนวคิดจะสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้า SMR ตามแผนPDP2024 เพื่อจ่ายให้กับประชาชนทั่วประเทศ และสำหรับนิคมอุตสาหกรรม ที่มีความต้องการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ดังนั้น ภาครัฐจะต้องเร่งตัดสินใจเลือกลงทุนโรงไฟฟ้า SMR ภายใน 1-2 ปีนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR จะต้องใช้เวลา 12-13 ปีถึงจะแล้วเสร็จเปิดเดินเครื่องได้”

ส่วนข้อกังวลในด้านความปลอดภัยนั้น ได้รับการยืนยันว่า เทคโนโลยี I-SMR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบโมดูลขนาดเล็กมีความปลอดภัยมาก เพราะใช้ระบบระบายความร้อนแบบธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า จึงลดความเสี่ยงอุบัติเหตุใหญ่ เช่น เชอร์โนบิลหรือฟุกุชิมะ ทำให้ความน่าจะเป็นเกิดความเสียหายของแกนปฏิกรณ์ต่ำกว่าเครื่องใหญ่ถึง 1,000 เท่าทีเดียว

สุดท้ายการศึกษาดูงานที่สาธารณรัฐเกาหลีใต้ในครั้งนี้ กฟผ. ยังให้ความสำคัญกับพลังงานไฮโดรเจน โดยได้ร่วมศึกษากับหลายหน่วยงาน อาทิ Doosan เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีพลังงานปลอดคาร์บอน อาทิ ไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเซลล์เชื้อเพลิง โดย กฟผ. ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการผสมไฮโดรเจนร้อยละ 5 กับก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม กฟผ. จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษาข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. พร้อมทั้งจับมือบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น อาทิ บริษัท มิตซูบิชิ (ประเทศไทย) จำกัด (MCT) ศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียบนพื้นที่ศักยภาพ กฟผ.

สาธารณรัฐเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาระบบไฮโดรเจนก้าวหน้าที่สุด ภายใต้นโยบาย Hydrogen Economy Roadmap ครอบคลุมตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การกักเก็บ ไปจนถึงระบบสถานีบริการและการใช้ในภาคพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงที่มีการพัฒนาเชิงพาณิชย์จำนวนมาก เช่น โครงการ Shinincheon Bitdream โรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กำลังผลิต 78.96 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้เทคโนโลยีของ Doosan ทั้งหมดด้วย





