
ชี้ค่าเงินบาทแข็งซ้ำเติมส่งออกทรุด อาจทดสอบ 30.50-31 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากเฟดลดดอกเบี้ยแรง แนวคิดเก็บภาษีซื้อขายทองคำไม่ช่วยชะลอเงินบาทแข็งค่าเท่ากับเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะในช่วง 4 เดือน มีแนวทางเพิ่มรายได้ ลดเสี่ยงถูกลดอันดับเครดิต
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยภาพรวม ภาคส่งออกและภาคการท่องเที่ยว อาจทำให้ตัวเลขส่งออกขยายตัวติดลบได้ในช่วงไตรมาสสี่ เพิ่มความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดมากยิ่งขึ้น การเร่งรัดอัดฉีดการใช้จ่ายภาครัฐผ่านมาตรการต่างๆมีความจำเป็น และต้องดำเนินการควบคู่กับการเพิ่มปริมาณเงินและลดอัตราดอกเบี้ย การดำเนินการผ่อนคลายทั้งมาตรการทางการเงินและการคลัง นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท การส่งออกทองคำไม่ใช่ปัจจัยกดดันหลักให้เงินบาทแข็งค่า สำหรับแนวคิดการกำหนดให้มีการซื้อขายทองด้วยเงินบาท อาจถูกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ซื้อขายทองคำด้วยดอลลาร์ จะได้รับการยกเว้นภาษี แนวคิดดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยชะลอการแข็งค่าเงินบาทมากนัก การเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบจะช่วยชะลอการแข็งค่าได้ดีกว่า
สำหรับทิศทางการแข็งค่าของเงินบาทจากการเกินดุลการค้าและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งเงินทุนระยะสั้นไหลเข้าเก็งกำไรในตลาดการเงินแล้วได้รับการเสริมให้รุนแรงขึ้นจากการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์ การอ่อนตัวของดอลลาร์สหรัฐฯสะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างชัดเจน ประกอบกับ มีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ยิ่งทำให้มีการโยกเงินทุนออกจากการถือครองดอลลาร์และพันธบัตรสหรัฐฯมาถือสินทรัพย์ทางการเงินในสกุลอื่นๆมากขึ้น ถือทองคำและสินทรัพย์อื่นๆมากขึ้น หากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 16-17 ก.ย. นี้ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ เงินบาทแข็งค่าทดสอบระดับ 30.50-31.00 บาทต่อดอลลาร์ได้
ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯขณะนี้เป็นเพียงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากลัทธิกีดกันทางการค้าจากภาษีทรัมป์ ยังไม่ได้มีสัญญาณใดๆที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจถดถอยแบบวิกฤตซับไพร์ม (Subprime Crisis) ในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม การกีดกันการค้าจากภาษีทรัมป์และมาตรการกีดกันคนเข้าเมืองจะส่งผลกระทบอันซับซ้อนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะยาว ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น คุณภาพชีวิตแย่ลง การเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงเท่ากับเป็นการบังคับให้สหรัฐฯผลิตสินค้าที่แทนที่ควรจะนำเข้าเพราะถูกกว่า ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและลดมาตรฐานการครองชีพของประชาชน ขณะที่ การเข้มงวดกับแรงงานเข้าเมืองทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรมและภาคก่อสร้าง
“ตอนที่สหรัฐฯเผชิญกับปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเงินซับไพร์มและเศรษฐกิจถดถอยนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 10 ครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2551-2552 จากดอกเบี้ยนโยบาย 5.25% ลงมาเหลือ 0% แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาวิกฤติ มีการผ่อนคลายอัตราการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องให้แก่สถาบันการเงิน มีการให้วงเงินกู้ยืมระยะสั้น มีการทำธุรกรรมสวอป (Swap) กับธนาคารกลางประเทศต่างๆเพื่อสกัดกั้นการล้มละลายของสถาบันการเงิน มีการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่างๆจากภาคเอกชนที่มีปัญหา สถานการณ์ ณ. ขณะนี้เป็นเพียงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเท่านั้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 4.5% ลงมาสู่ระดับ 3% ในช่วงกลางปีหน้าน่าจะเพียงพอ สหรัฐอเมริกามีหนี้สาธารณะสูงถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 122% ของจีดีพี และต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็นระยะๆ นักลงทุนจะทยอยลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันให้แนวโน้มดอลลาร์สหรัฐฯยังคงอ่อนค่าในระยะยาว”
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า ในภาวะปรกติ ไม่มีธุรกรรมเก็งกำไรในตลาดปริวรรตเงินตรามากเกินไป ประเทศที่มีระบบอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างเสรี (Flexible Exchange Rate System) อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้อุปสงค์เงินตราต่างประเทศกับอุปทานเงินตราต่างประเทศมีความสมดุล ธนาคารกลางจึงไม่จำเป็นต้องใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศในการแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราหรือตลาดอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้น ภาคส่งออกอาจไม่สามารถปรับตัวทันต่อความผันผวนดังกล่าว และ มีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยอาจไม่ได้ใช้เครื่องมือประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ การเข้ามาบริหารจัดการด้วยมาตรการต่างๆเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทจึงมีความจำเป็น
รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณอย่างมียุทธศาสตร์และเป้าหมายชัดเจน มาตรการใช้จ่ายภาครัฐต้องมีประสิทธิภาพและระมัดระวัง ค่าเฉลี่ยของการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นทุกปี เมื่อเทียบกับประเทศอาเซียน หนี้สาธารณะของไทยอยู่ในอันดับต้นๆ ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 67.9% ของจีดีพี หรือ 12.3 ล้านล้านบาท คาดว่าจะขึ้นไปแตะ 68.9% ในอีก 3 ปีข้างหน้า
ไทยมีความเสี่ยงฐานะทางการคลังเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ และ อาจถูกปรับลดอัตราเครดิตในอนาคตได้ รัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือนจึงควรหลีกเลี่ยงในการดำเนินมาตรการหรือนโยบายใดๆที่ต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม และ ทบทวนการใช้จ่ายและลดงบประมาณที่ไม่ตอบโจทย์ปัญหาของประเทศ ไม่คุ้มค่า ควรมีแนวทางเพิ่มรายได้ให้ชัดเจนเพื่อลดปัญหาการขาดดุลงบประมาณและการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของหนี้สาธารณะ หาก ไทยถูกปรับลดเครดิต จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสูงขึ้น