Thursday, 19 September 2024 - 11:42 pm
spot_img
Thursday, 19 September 2024 - 23:42
spot_img

PEA เปิดผลงานครบรอบ 64 ปี มุ่งสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลและพลังงานสะอาด เดินหน้าปี 68 ได้ฤกษ์เปิด Hub สถานีชาร์จ EV ใหญ่สุดในประเทศที่ จ. ขอนแก่น

วันนี้ (11 กันยายน 2567) PEA ครบรอบ 64 ปี ขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาดและนวัตกรรมสมัยใหม่ นำแพลตฟอร์มดิจิทัลให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง “ศุภชัย เอกอุ่น” ผู้ว่าฯ กางผลการดำเนินงานเปิดต้นแบบไมโครกริด จ.แม่ฮ่องสอน  และพัฒนาการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่เชื่อมระบบจำหน่ายต่อยอดใช้กับพลังงานหมุนเวียน เผยเป็นรัฐวิสาหกิจพลังงานแห่งแรกที่ออกพันธบัตรสีเขียว ESG Bond ได้ฤกษ์ปี 68 เปิด Hub สถานีชาร์จ EV ใหญ่ที่สุดในประเทศที่ จ. ขอนแก่น หลังติดตั้งสถานีชาร์จกว่า 400 สถานี ครอบคลุม 75 จังหวัด

นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปิดเผยผลการดำเนินงานในโอกาสการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ครบรอบ 64 ปี 28 กันยายน 2567 ว่า ตลอดเส้นทาง 64 ปี ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เริ่มต้นจากการบุกเบิกนำไฟฟ้าสู่ประชาชน เร่งรัดพัฒนาไฟฟ้าสู่ชนบทส่งเสริมความเจริญสู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมจนสามารถขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงในพื้นที่รับผิดชอบ 74 จังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้น กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ โดยได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนาการดำเนินงานเพื่อยกระดับมาตรฐานระบบส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าและการบริการให้สามารถแข่งขันเชิงธุรกิจในระดับสากล มุ่งสู่องค์กรที่เป็นเลิศด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ร่วมสร้างคุณค่าสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ขับเคลื่อนองค์กรสู่ PEA Digital Utility และยังคงเดินหน้าบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพด้วยระบบไฟฟ้าอัจฉริยะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “ไฟฟ้าอัจฉริยะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” (Smart Energy for Better Life and Sustainability)

นายศุภชัย กล่าวด้วยว่า PEA ถือว่าเป็น 64 ปี แห่งการพัฒนาพลังงานเพื่อสังคมไทย สู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาด และนวัตกรรมสมัยใหม่ โดยได้นำ Meter : Advanced Metering Infrastructure (AMI) มาใช้นำร่องสำหรับลูกค้าทุกรายในพื้นที่เมืองพัทยามากกว่า 1 แสนเครื่อง และมีการนำ e-Meter มาใช้ด้วยการสับเปลี่ยนมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ทดแทนมิเตอร์จานหมุนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งมิเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สามารถจดหน่วยในระยะไกลผ่านระบบ Bluetooth ด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัย หน้าจอแสดงผลแบบดิจิทัล อ่านค่าง่าย ชัดเจน แม่นยำ เก็บประวัติการใช้ไฟฟ้าได้ รองรับการซื้อขายไฟในอนาคต รวมถึงการนำ IoT sensors นำมาติดตั้งและใช้งานในหม้อแปลงระบบจำหน่าย พร้อมระบบบริหารจัดการหม้อแปลง (Distribution Transformer Management System : DTMS) ด้วย

นอกจากนี้ PEA ยังมีการนำระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) มาใช้ โดยพัฒนาระบบไฟฟ้าด้วยระบบกักเก็บพลังงานเชื่อมต่อในระบบจำหน่าย พื้นที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ แก้ไขปัญหาคุณภาพไฟฟ้าและจ่ายไฟฟ้ากรณีไฟฟ้าดับได้อย่างรวดเร็ว และพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานสายเคเบิลใต้น้ำเส้นเดิมให้สูงขึ้น ต่อยอดการนำเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ใช้งานร่วมกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy)

PEA มีการพัฒนาต้นแบบไมโครกริดในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อลดปัญหาไฟฟ้าขัดข้องทำให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียง อำเภอสบเมย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นระบบจ่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย และโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมากบนพื้นที่เกาะพะลวย จังหวัด สุราษฎร์ธานี สำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ประชาชนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ตามนโยบายของรัฐบาล

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า PEA เป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานแห่งแรกที่ได้ทำ ESG BOND  สอดคล้องตามมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของอาเซียน (ASEAN Taxonomy) ออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนเป็นครั้งแรก อายุพันธบัตร 5 ปี วงเงินรวม 1,000 ล้านบาท โดยนำเงินที่ได้มาลงทุนโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี และโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าแบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (Micro Grid) บนพื้นที่เกาะพะลวย จังหวัดสุราษฎร์ธานี PEA เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมทางการเงินสีเขียวด้วยการออกพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินโครงการโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตลอดจนประโยชน์ของประเทศและโลกเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ PEA ยังได้พัฒนาช่องทางดิจิทัล (Platform Digital) เพื่อให้บริการลูกค้าผ่านช่องทาง PEA Smart Plus, PEA e-Service และ LINE Official “PEAThailand” ตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป มุ่งเน้นให้บริการที่มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย สะดวก ง่ายต่อการใช้งาน เพิ่มช่องทางการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้ไฟฟ้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ ตรวจสอบค่าไฟฟ้า ชำระค่าไฟฟ้า ขอใช้ไฟฟ้าใหม่ ขอขยายเขตไฟฟ้า ขอรับใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และพบกับการใช้บริการออนไลน์รูปแบบใหม่เพิ่มบริการอีก 29 รายการผ่าน www.sabuy.pea.co.th เร็วๆ นี้

PEA ยังสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าโดยติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้ามากกว่า 400 สถานี ครอบคลุม 75 จังหวัดทั่วประเทศ มีผู้ใช้บริการมากกว่า 2 แสนราย สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า และให้บริการเครื่องอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าพิกัดสูง (EV SUPER CHARGE) ขนาด 360 kW ซึ่งเป็นเครื่องอัดประจุพิกัดสูงที่สุดในประเทศไทย (SUPER CHARGE) สามารถใช้งานผ่าน PEA Volta Application ประกอบด้วย ฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ อาทิ ค้นหาสถานีชาร์จ ควบคุมการเริ่มหรือหยุดการอัดประจุแบบ Realtime และชำระค่าบริการ

“ตอนนี้ PEA กำลังสร้างศูนย์กลาง (Hub) การให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น โดยจะเปิดให้บริการชาร์จไฟฟ้าให้กับรถยนต์ EV ทุกขนาดและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี 2568  และมีแผนจะขยายเพิ่มไปอีก 3 จุด คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ เพื่อรองรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างทั่วประเทศให้เกิดความมั่นใจว่ามีที่ชาร์จเพียงพอระหว่างการเดินทางแน่นอน”

นอกจากนี้ PEA ยังมีบริการอัดประจุผ่าน PEA Volta Platform ระบบบริหารสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กผ่าน Termfai Platform โดยมี Pupaplug เต้ารับสำหรับธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าพิกัด 3.7 kW และ Pupapump Ac charger 7.7 kW และในไม่ช้า PEA จะเพิ่มการบริการอัดประจุที่สถานี PEA Volta ให้กลุ่มลูกค้าองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน (Volta Fleet) โดยผู้ใช้รถไม่ต้องพกเงินสด ไม่ต้องโหลด App บริหารค่าใช้จ่ายผ่านระบบ Master Account และ Account ย่อย

PEA ส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพตามนโยบายภาครัฐ ส่งเสริมการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยให้บริการติดตั้ง บำรุงรักษา บริการจัดการพลังงานในองค์กร ได้แก่ Renewable Energy : RE ในรูปแบบ ESCO Model Guaranteed Rebate และ Energy Efficiency : EE ในรูปแบบ ESCO Model Shared Saving

ไม่เพียงเท่านี้ PEA ยังสามารถจัดหาใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate : REC) สำหรับองค์กรที่มีเป้าหมายจะมุ่งสู่ความยั่งยืน หรือความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ที่ได้กำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาดและองค์กรที่ได้รับผลกระทบการส่งออกจากมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์ม CARBONFORM เพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และเป็นเครื่องมือการขับเคลื่อนเป้าหมาย Carbon Neutrality พร้อมเชิญชวนให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นนิติบุคคลในพื้นที่รับผิดชอบของ PEA 74 จังหวัด ใช้งานแพลตฟอร์ม CARBONFORM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้องค์กรต่างๆ บริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างละเอียดติดตามความคืบหน้าของการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเรียลไทม์ วิเคราะห์แหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกวางแผนกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรายงานที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการขององค์กร ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนการดูแลสังคมให้ยั่งยืน PEA ได้มีโครงการ 1 ตำบล 1 ช่างไฟฟ้า โดย PEA ร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อให้ความรู้สร้างรายได้ให้ช่างไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมาย เป็นช่างไฟฟ้าประจำตำบล ซึ่งผ่านการฝึกอบรม 18 ชั่วโมงและมีแผนงานขยายผลดำเนินโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 ช่างไฟฟ้าตามภารกิจกระทรวงมหาดไทยที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs โดยร่วมกับ 4 กระทรวง 3 หน่วยงานจัดอบรมช่างไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนช่างไฟฟ้าในท้องถิ่นให้สามารถบริการซ่อมแซมไฟฟ้าตามมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งในปี 2569 จะมีช่างไฟฟ้าที่ผ่านการอบรมจากโครงการครบ ทุกหมู่บ้านในพื้นที่ 74 จังหวัด

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ PEA LED เพื่อแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไทย ติดตั้งหลอดประหยัดพลังงานชนิด LED ส่องสว่างโบราณสถานและแหล่งท่องเที่ยว ประหยัดค่าไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ระยะที่ 2 ขยายเขตไฟฟ้าให้เกษตรกร 55,876 ราย ในพื้นที่ทำกินทางการเกษตรและพื้นที่ห่างไกลให้มีไฟฟ้าใช้ครอบคลุมทุกครัวเรือน โดยในปี 2567 – 2571 PEA จะดำเนินโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้พื้นที่ทำกินทางการเกษตร ระยะที่ 3 ยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร โครงการ PEA ส่งเสริมพลังงานทดแทนเพื่อวิสาหกิจชุมชน สนับสนุนโรงอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้อบแห้งผลผลิตทางการเกษตรให้มีมาตรฐานตามความต้องการของตลาด สร้างรายได้ให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

รวมถึงมาตรการขยายระยะเวลาการงดจ่ายไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่มียอดการใช้ไฟฟ้า ไม่เกิน 300 บาทต่อ เดือน และค้างชำระค่าไฟฟ้าได้ไม่เกิน 3 บิลเดือน ระยะเวลามาตรการดังกล่าวสิ้นสุดถึงบิลค่าไฟเดือนพฤศจิกายน 2567

นายศุภชัย กล่าวในตอนท้ายว่า ก้าวต่อไปของ PEA ยังคงมุ่งเน้นระบบโครงข่ายและระบบจำหน่ายที่มั่นคงรองรับการขยายตัวของลูกค้าอุตสาหกรรมและการเพิ่มขึ้นของพลังงานสะอาด สร้างพันธมิตรกับเครือข่าย Startupเพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ปรับปรุงกระบวนการทำงาน ยกระดับผลประกอบการของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่รวมถึงเตรียมความพร้อมของระบบเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงพลังงานในอนาคตด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของ Grid Modernizationวางแผนการดำเนินงาน Green Tech Fund เพื่อสร้างผลตอบแทนการลงทุนพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดำเนินงานของ PEA และยกระดับการพัฒนาองค์กรไปสู่ Carbon Neutrality PEA เดินหน้าพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้บริการพลังงานไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่องครบวงจรและมีประสิทธิภาพ มั่นคง ปลอดภัย เชื่อถือได้

“PEA มุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อม สร้างสังคมสีเขียวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)โดยการจัดงานในครั้งนี้สามารถขายคืนคาร์บอนเครดิตได้ 8 ตันคาร์บอนฟุตพริ้นท์” ผู้ว่าฯ PEA กล่าวทิ้งท้าย

LATEST NEWS