
การทางพิเศษฯ เดินหน้าแผนก่อสร้างทางด่วน จ.ภูเก็ต “กระทู้-ป่าตอง-เมืองใหม่-เกาะแก้ว” มูลค่ารวมกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท เตรียมเปิดประมูลสร้างเฟสแรกปลายปี 2568 เริ่มสร้าง 2569 พร้อมดึงเอกชนร่วมประมูล PPP งานระบบและการบริหารจัดการ (OM) มูลค่า กว่า 2 หมื่นล้านบาท คาดเปิดใช้งานปี 2573
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Opinion Hearing) งานศึกษาทบทวนความเหมาะสม และจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ เพื่อนำความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนมาประกอบการจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562

โดยนายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานว่า กทพ. ได้ดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต เพื่อ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมทางถนน แก้ไขปัญหาการจราจร และอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางให้กับคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว ประกอบด้วยโครงการทางพิเศษ 2 ระยะ ได้แก่ โครงการระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง มีระยะทาง 3.98 กิโลเมตร และโครงการระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ มีระยะทาง 30.62 กิโลเมตร รวมระยะทางของโครงการทั้ง 2 ระยะ มีระยะทาง 34.60 กิโลเมตร

ทั้งนี้ กทพ. ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต โดยรัฐจะรับผิดชอบงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน กทพ. ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างงานโยธา โครงการระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง และระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ สำหรับการก่อสร้างงานระบบ และการบริหารจัดการและบำรุงรักษา (Operation & Maintenance: O&M) ของโครงการทั้ง 2 ระยะ เช่น งานระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง และระบบควบคุมจราจร เป็นต้น กทพ. ได้เห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของเอกชน ดังนั้น จึงได้เปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ
นายสุรเชษฐ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินโครงการ สำหรับ โครงการระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง ได้ผ่านการพิจารณาของบอร์ด กทพ. และได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังแล้ว คาดว่าช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้จะเสนอเข้า ครม. ได้ เมื่อผ่านความเห็นชอบก็จะดำเนินการเปิดประมูลโครงการ ซึ่งคาดว่าจะทำการคัดเลือกผู้ดำเนินการก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี 2568 เริ่มก่อสร้างในปี 2569 ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 4 ปี แล้วเสร็จปลายปี 2572 เปิดให้บริการปี 2573

ส่วนโครงการระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ จะเสนอขออนุมัติให้ กทพ.ดำเนินโครงการ โดยจัดทำแบบรายละเอียด (Detail & Design) ปี 2568-2569 ก่อสร้างปี 2570-2572 เปิดให้บริการปี 2573
ขณะที่งานก่อสร้างระบบจัดเก็บค่าผ่านทาง ระบบควบคุมและบริหารจัดการจราจร ทั้ง 2 ระยะที่เป็นการร่วมลงทุนเอกชน คาดว่าจะเสนอโครงการตามขั้นตอน พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ พ.ศ.2562 ในปี 2568-2569 ดำเนินการคัดเลือกเอกชน ในปี 2569-2571 เริ่มก่อสร้างระบบในปี 2571 ซึ่งจะสอดรับกับงานโยธาและกำหนดเปิดให้บริการตลอดโครงการในปี 2573

สำหรับ มูลค่าเงินลงทุนโครงการรวมอยู่ที่ 62,689 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการ ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง รวมประมาณ 16,759 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 5,793 ล้านบาท , ค่าก่อสร้างงานโยธา 9,975 ล้านบาท, ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 279 ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมจราจร (งานระบบ) 712 ล้านบาท
และโครงการ ระยะที่ 2 ช่วงเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ รวมประมาณ 45,930 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 21,188 ล้านบาท , ค่าก่อสร้างงานโยธา 22,620 ล้านบาท, ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 604 ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมจราจร (งานระบบ) 1,518 ล้านบาท
ส่วนค่าดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) โครงการทั้ง 2 ระยะ (ระยะเวลา 30 ปี) รวมประมาณ 24,800 ล้านบาท

สำหรับการจัดเก็บค่าผ่านทางของโครงการระยะที่ 1 จัดเก็บค่าผ่านทางอัตราเดียว (Flat Rate) โดยจะมีช่องทางสำหรับรถจักรยายนยนต์ด้วย มีอัตราค่าผ่านทาง ณ ปีเปิดให้บริการ (ปี 2573) เท่ากับ 15/ 40/ 85/ 125 บาท สำหรับรถจักรยานยนต์/ รถ 4 ล้อ/ รถ 6-10 ล้อ/ รถมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ ซึ่งจะมีการปรับอัตราค่าผ่านทางทุก 5 ปี
และโครงการระยะที่ 2 จัดเก็บค่าผ่านทางตามระยะทาง (Distance-Based Rate) โดยไม่มีช่องทางสำหรับรถจักรยายนยนต์มีอัตราค่าแรกเข้า 40/ 80/ 120 บาท และค่าผ่านทางต่อระยะทาง 1.50/ 3.00/ 4.50 บาทต่อกิโลเมตร สำหรับรถ 4 ล้อ/ รถ 6-10 ล้อ/ รถมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ ซึ่งจะมีการปรับอัตราค่าผ่านทางทุก 5 ปี

สำหรับการคาดการณ์ปริมาณจราจร ณ ปีเปิดให้บริการ (ปี 2573) ประมาณ 69,386 คัน/วัน โดยโครงการมีอัตราผลตอบแทนด้านการเงิน (FIRR) เท่ากับ 1.82% และโครงการนี้มีความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ 18.85%
ทั้งนี้ ในช่วงการถาม-ตอบข้อซักถามจากผู้เข้าร่วมประชุม มีตัวแทนจากภากเอกชนให้ความสนใจใรประเด็นของรูปแบบการบงทุนและผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจของโครงการ ที่อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ คือ FIRR 1.82% ที่ต่ำมาก โดยที่ปรึกษา ได้ให้ข้อมูลว่ารูปแบบการลงทุน อยู่ระหว่างการพิจารณา 3 รูปแบบ คือ 1.PPP -Net Cost คือเอกชนรับสัมปทานจัดเก็บรายได้และจ่ายส่วนแบ่งให้รัฐ 2.PPP-Gross Cost รัฐจัดเก็บรายได้และจ่ายค่าตอบแทนให้เอกชน และ 3.PPP-Modified Gross Cost รัฐจัดเก็บรายได้และจ่ายค่าตอบแทนให้เอกชน ซึ่งเอกชนจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มเติมตามเงื่อนไขเพื่อเป็นแรงจูงใจ โดยในส่วนของ กทพ. เยื้องต้นมองว่ารูปแบบ PPP-Gross Cost ค่อนข้างเหมาะสม

ส่วนผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ หรือ FIRR ที่ 1.82 % ที่ปรึกษาระบุว่า เนื่องจากเป็นการประเมินโดยรวมค่าลงทุนทั้งโครงการ ทั้งค่าเวนคืน ค่าก่อสร้าง และงานระบบ มูลค่า 87,489 ล้านบาท แต่ในข้อกำหนดการประมูล PPP จะมีเงื่อนไขที่จูงใจเอกชน คือรัฐจะออกค่าเวนคืน ขณะที่ กทพ. จะลงทุนค่าก่อสร้างงานโยธา และเอกชนจะลงทุนงานระบบบำรุงรักษา (O&M) ทั้ง 2 ระยะ เป็นเวลา 30 ปี รวมประมาณ 24,800 ล้านบาท โดยในช่วง 2 ปีแรก ต้องเร่งก่อสร้างงานระบบทั้ง 2 ระยะมูลค่ารวมประมาณ 2,230 ล้านบาทก่อน โดยที่ปรึกษาบอกเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อตัดค่าเวนคืนและค่าก่อสร้างงานโยธาออกแล้วจะทำให้ FIRR โครงการอยู่ที่ 40%
นอกจากนั้นยังมี นายสาโรจน์ อังคณาพิลาส นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย โดยระบุว่า ในฐานะตัวแทนชาวภูเก็ตขอขอบคุณ กทพ. ที่ผลักดันโครงการเพื่อให้เกิดขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว แต่เข้าใจดีว่าในส่วนของการดำเนินการอาจมีขั้นตอนที่จะส่งผลให้โครงการเกิดปัญหาล่าช้า อย่างไรอยากจะขอให้รัฐบาลพิจารณาเป็นพิเศษในการลดขั้นตอนหรือพิจารณาด้านข้อกฎหมายเพื่อให้โครงการเกิดขึ้นโดยเร็ว รวมถึงอยากให้พิจารณาในการกำหนดค่าผ่านทางในราคาทีาลดลงจากที่ กทพ. กำหนดไว้ให้แก่ชาวภูเก็ตด้วย

นายสุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า การจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนภาคเอกชน เพื่อทราบถึงความสนใจของนักลงทุน และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุน รวมถึงได้รับข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วน ประกอบการจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต นับเป็นทางเลือกในการเดินทางที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรบนถนนเทพกระษัตรี (ทางหลวงหมายเลข 402) และถนนพระบารมี (ทางหลวงหมายเลข 4029) รวมทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพด้านการคมนาคมและแก้ไขปัญหาการจราจรในจังหวัดภูเก็ตให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยต่อผู้เดินทางยิ่งขึ้น